วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

วิธีการเชิงสัจพจน์ (ต่อ)


3.สัจพจน์หรือข้อตกลงขั้นมูลฐาน
  บางครั้งมนุษย์เราต้องการอธิบายให้ผู้อื่นยอมรับสิ่งที่พูดนั้นเป็นจริง  เมื่อต้องการให้ผู้อื่นยอมรับในสิ่งที่พูด  ว่าเป็นจริง  ก็ยอมรับที่จะแสดงเหตุผลเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ  โดยทำโครงการแสดงเหตึชุผลประกอบ  และใช้ประโยคคำพูดขยายข้อความเป็นประโยคที่  2  ถ้ายังไม่เป็นที่ยอมรับก็ต้องอธิบายต่อไปอีกโดยใช้คำพูดประโยคที่  3  ซึ่งถ้ายังไม่เป็นที่ยอมรับ  ก็ต้องหาคำพูดประโยคต่าง    มาขยายความอีก  จนกว่าจะถึงคำพูดประโยคที่ผู้อื่นเห็นจริงด้วย  จึงหยุดได้
                ในบางครั้งผู้อธิบายก็จนปัญญาที่จะหาคำมาพูดอธิบายต่อไป  เพราะคำพูดประโยคที่นำมาใช้ขยายความให้เข้าใจก็มีจำกัด  บางครั้งก็เกิดการวกเวียนมาใช้คำพูดประโยคเดิมอธิบายอีก  ข้อความที่ต้องการการแสดงเหตุผลให้เป็นที่ยอมรับจึงสามารถทำได้  วิธีการเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการแสดงเหตุผลประกอบแล้วเกิดการวกเวียนกลับมาใช้คำพูดประโยคเดิม  ก็ถือว่าข้อความที่พูดนั้นพิสูจน์ให้เห็นจริงไม่ได้
ในบางครั้งสิ่งที่มนุษย์กล่าวไว้  ก็มีความจริงในตัวเอง  เป็นที่ยอมรับโดยอาศัยกฎของธรรมชาติ  โดยไม่มีข้อโต้งแย้งมาตลอด  เช่น  คนทุกคนต้องตาย  สิ่งทั้งหลายต่างเท่ากับตัวของมันเองบางครั้งสิ่งที่มนุษย์มีความเชื่อร่วมกัน  โดยไม่สามารถจะแสดงให้เห็นจริงได้  เช่น  เชื่อว่าทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว”   “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย”  กฎการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขคือไม่เคร่งเครียดไม่ย่อหย่อนแต่ในลักษณะพอดี  เป็นต้น
นักคณิตศาสตร์ได้มองเห็นปรากฏการณ์ที่ได้กล่าวมาแล้ว  จึงตกลงกันว่า  ในการเริ่มต้นเรียนรู้วิชาการใด    จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี  ข้อตกลง  หรือ  กติกา  หรือความเชื่อร่วมกัน  เพื่อเป็นหลักยึดเป็นเบื้องต้น  โดยไม่ต้องพิสูจน์หาเหตุผลมาสนับสนุนข้อตกลงเหล่านั้น  หลักการที่ยึดถือร่วมกันโดยไม่ต้องมีการพิสูจน์หาเหตุผลมาประกอบ  เรียกว่า  ข้อตกลงขั้นมูลฐาน  หรือสมมติฐาน  หรือสิ่งที่เห็นจริงแล้ว  หรือ  กติกา  ชื่อต่าง    เหล่านี้  จะรวมเรียกว่า  สัจพจน์
4.ทฤษฎีบท
   ข้อความที่สามารถหาเหตุผลมาประกอบให้เป็นที่ยอมรับได้  เราเรียกว่า  ทฤษฎีบท  วิธีการที่เราสามารถหาเหตุผลมาแสดงให้เป็นที่ยอมรับได้  เรียกว่า  การพิสูจน์  การแสดงการพิสูจน์  เราอาศัยอนิยาม  หรือสัจพจน์  หรือ  ความจริงที่เคยพิสูจน์มาแล้ว  มาอ้างอิง  ก็จะได้ทฤษฎีบท  การพิสูจน์ทฤษฎีบทยังอาศัยเหตุผลเชิงนิรนัย  ซึ่งเป็นหลักการที่นักคณิตศาสตร์ยอมรับ  ข้ออ้างอิงที่ใช้ในการประกอบเหตุผลก็จะเป็น  อนิยาม  นิยาม  สัจพจน์  และทฤษฎีบทที่พิสูจน์แล้ว
วิธีการเชิงสัจพจน์  อาศัยองค์ประกอบ  4  ประการ  เพื่อสร้างระบบที่ดี  ต่อไปนี้
1.กลุ่มของคำ (พจน์ที่ต้องไม่ต้องให้คำจำกัดความ  ที่เรียกว่า  กลุ่มของ        
อนิยาม  และกลุ่มของคำ  (พจน์ที่ให้คำจำกัดความได้  ที่เรียกว่า  นิยาม
2.กลุ่มข้อความ  (ประโยค  หรือ  ประพจน์ที่ยอมรับว่าเป็นจริง  โดยไม่ต้อง
แสดงเหตุผลประกอบการพิสูจน์  ที่เรียกว่า  สัจพจน์
3.การแสดงเหตุผลโดยอาศัยเหตุผลเชิงนิรนัย  หรืออาจเรียกว่าเป็นการแสดง
เหตุผลโดยอาศัยหลักเกณฑ์ของเหตุผล(Rules  of  Reasoning)  ที่จะต้อง
ดำเนินตามกระบวนการพิสูจน์ที่เชื่อมโยงข้อความหนึ่งกับอีกข้อความหนึ่งที่อยู่
ถัดมา
4.ทฤษฎีบท  ซึ่งเป็นความจริงที่พิสูจน์แสดงเหตุผลได้  โดยการอ้างอิงข้อ  1 
หรือ  ข้อ  2  และโดยการใช้ข้อ  3  หรือข้ออ้างอิงทฤษฎีบทที่มีการพิสูจน์แล้ว 
      จุดประสงค์ของระบบสัจพจน์ก็คือ  ทำให้เกิดการพัฒนาที่มีลำดับที่ดีโดยผลลัพธ์ที่ซับซ้อนยุ่งยากจะไดมาภายหลังผลลัพธ์ที่ง่าย  หรือมาจากสัจพจน์ที่กำหนดไว้ก่อน  นอกจากนี้ในการเลือกเซตของสัจพจน์ที่ใช้ในระบบก็จำเป็นต้องเลือกให้เหมาะสม  วิธีง่าย    ในการเลือกสัจพจน์ก็คือ  เลือกข้อความที่ชัดเจน  แต่ก็อาจจะมีบางครั้งที่ผิดแปลกไปจากธรรมดาในโลกกายภาพบ้างก็ได้  ซึ่งจะเห็นได้ใน  เมื่อเรามีโอกาสได้ศึกษาต่อ    ไปในการพัฒนาเรขาคณิตไม่ใช่ระบบยูคลิค  ซึ่งยอมรับสัจพจน์ที่ขัดแย้งกับเรขาคณิตระบบยูคลิค
                ระบบสัจพจน์ที่สร้างขึ้นแล้ว  จะต้องมีคุณสมบัติที่จำเป็น  คือ  คุณสมบัติความไม่ขัดแย้งกัน(Property  of  Consistency)  ซึ่งก็ความหมายความตามชื่อคือไม่มี      สัจพจน์ใดที่เกิดความขัดแย้งซึ่งกันและกัน
                คุณสมบัติอื่น    ที่ระบบสัจพจน์อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้  ได้แก่
                1.คุณสมบัติความเป็นเป็นอิสระ(Independence)  หมายความว่าระบบที่สร้างขึ้นนั้น  สัจพจน์แต่ละอันในเซตต้องเป็นอิสระไม่ได้มาจากผลลัพธ์มาจากสัจพจน์อื่นใดในเซต
                2.คุณสมบัติความสมบูรณ์(Completeness)  หมายถึงคุณสมบัติในระบบสัจพจน์นั้นที่ทุก    ข้อความในเซตของสัจพจน์  หรือข้อความอื่นใดที่ใช้คำอนิยาม  จะต้องแสดงได้ว่าเป็นจริงหรือเป็นเท็จเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
                3.คุณสมบัติการจำแนกประเภท(Categoricalness)  คุณสมบัตินี้หมายถึงระบบสัจพจน์ใด  ๆ  ก็ตามที่สร้างขึ้นจากเซตของ  อนิยาม  นิยาม  หรือเซตของสัจพจน์เซตเดียวกัน  แล้วต้องได้ว่าแท้จริงระบบเหล่านี้คือระบบเดียวกัน
                วิชาทฤษฎีเซต  เดิมทีก็มิได้ใช้แนวทาง  วิธีการเชิงสัจพจน์  คือมิได้กำหนด  พจน์อนิยาม  พจน์นิยาม  และสัจพจน์  ไว้  แต่ได้เริ่มมีพจน์นิยาม  และทฤษฎีบท  เท่านั้น  แต่นักคณิตศาสตร์ก็สามารถศึกษาวิชาทฤษฎีเซตโดยไม่อาศัยวิธีการเชิงสัจพจน์นี้ได้  ซึ่งก็ได้ข้ามส่วนที่เป็นสัจพจน์นี้ไป  ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายมากนัก  เพราะการนำวิธีการเชิงสัจพจน์มาใช้ก็ทำให้ความล่าช้า  ที่ทำให้เกิดความน่าเบื่อหน่ายแก่ผู้เรียนได้
                วิชาทฤษฎีเซตที่ไม่ได้ใช้วิธีการเชิงสัจพจน์  มักเรียกว่า  วิชาทฤษฎีเซตบริสุทธิ์(Naïve  Set  Theory)  หรือวิชาทฤษฎีเซตเบื้องต้น  วิชาทฤษฎีเซตบริสุทธิ์ก็มีปัญหาขัดแย้งหรือข้อความที่มีลักษณะขัดกัน  ที่ได้กล่าวถึงมาแล้ว  ที่เรียกว่า  พาราดอกซ์  ข้อความขัดแย้ง  ที่รู้จักกันทั่ว    ไป  ก็คือพาราดอกซ์ของรัสเซลล์  ทำให้เกิดมีการพัฒนาทฤษฎีเซตบริสุทธิ์ในเชิงสัจพจน์  และ  เรียกว่า  วิชาทฤษฎีเซตเชิงสัจพจน์(Axiomatic  Set  Theory)  อย่างไรก็ตามผู้ที่ศึกษาจะพบว่าหนังสือด้านวิชาทฤษฎีเซตบางเล่ม   จะอยู่ในแบบวิชาทฤษฎีเซตบริสุทธิ์  แต่เราสามารถจะศึกษาได้โดยไม่ได้ถือว่า  ไม่ถูกต้อง  เมื่อได้เพิ่มเติม  พจน์นิยาม  และสัจพจน์  แล้วจัดให้สอดคล้องกันก็จะได้วิชาทฤษฎีเซตเชิงสัจพจน์ได้
                ในทำนองกลับกัน  ถ้าเราศึกษาวิชาทฤษฎีเซตเชิงสัจพจน์  หนังสือบางเล่มก็จะบอกไว้ว่าถ้าเราไม่ต้องการศึกษาในระบบสัจพจน์ก็ข้ามส่วนที่เป็นระบบสัจพจน์ที่ผู้เขียนได้ทำเครื่องหมายไว้ได้ก็ไม่ทำให้ผู้ศึกษาเกิดความเบื่อหน่าย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น